สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ทุกคนคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับลูกตัวเองก็คือ การได้เห็นเค้ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ สติปัญญา เพื่อให้เค้าสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่เด็กบางคนก็ไม่ได้โชคดีอย่างนั้นเค้าเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติบางอย่างปัจจุบันความผิดปกติที่พบเห็นได้มากที่สุดก็คือภาวะออทิสติก และ ภาวะดาวน์ซินโดรม สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร เรามาทำความเข้าใจกัน
สาเหตุของการเกิดความผิดปกติ
ความผิดปกติทุกอย่างย่อมมีสาเหตุการเกิดของมันด้วย สองภาวะนี้มีต้นกำเนิดความผิดปกติแตกต่างกัน ดาวน์ซินโดรมเป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 21 นั้นผิดปกติกล่าวคือ เกินมา 1 ขา จนมี3 ขา(ปกติโครโมโซมจะมีเพียงแค่ 2 ขาเท่านั้น แต่ออทิสติก เกิดจากความผิดปกติของระบบร่างกายบริเวณสมอง หรือ ระบบปราสาท ซึ่งสาเหตุที่แน่ชัดไม่สามารถเจาะลงลงไปได้ เนื่องจากแต่ละกรณีก็เกิดไม่เหมือนกัน
วิธีการสังเกต
สิ่งที่ยากมากของทั้งสองภาวะนี้ก็คือ เราต้องสังเกตให้ออกตั้งแต่เด็กเพื่อเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ พ่อแม่บางคนเป็นมือใหม่ก็เลยอาจจะคิดไม่ถึงว่า การที่ลูกไม่สามารถทำพฤติกรรมนั้นได้เป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าเดี๋ยวโตขึ้นก็ทำได้เลย ปรากฏว่ากว่าจะรู้ตัวว่าเป็นอะไรก็เกือบจะสายไปเหมือนกัน สำหรับดาวน์ซินโดรมนั้น ข้อดีในเรื่องนี้ก็คือเราสามารถค้นหาความผิดปกติได้เลย จากหน้าตาของเด็ก ภาวะความผิดปกตินี้จะแสดงออกมาทางหน้าตาเลย เด็กที่มีภาวะแบบนี้จะหน้าคล้ายกันหมดทุกคน ให้สังเกตดาราตลกที่ชื่อว่า สายัณห์ ดอกสะเดา นั่นแหละดาวน์ซินโดรมล่ะ หรือ บางกรณีสามารถตรวจสอบจากน้ำคล้ำขณะตั้งครรภ์ได้เลย ส่วนภาวะออทิสติกนั้นไม่สามารถตรวจได้แบบนั้น จะต้องตรวจจากพัฒนาการของเด็กว่าเป็นไปตามช่วงวัยหรือไม่ตั้งแต่การคลาน เดิน นั่ง นอน หรือพูด หากไม่เป็นไปตามช่วงวัยอาจจะเข้ารับการรักษาเสียแต่เนิ่น(นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม โรงพยาบาลจึงเน้นย้ำนักย้ำหนาว่าให้คุณแม่พาลูกมาตรวจพัฒนาการตามกำหนดในคู่มือคุณแม่)
การแสดงอาการ
ภาวะความผิดปกติทั้งสองอย่างมีอาการแสดงออกมาไม่เหมือนกัน ดาวน์ซินโดรม จะมีอาการไปในทางเดียวกันหมดก็คือมีพัฒนาการช้า แม้ร่างกายจะโตแล้วแต่อายุสมองอาจจะทำได้เพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้นเอง แต่ออทิสติกแตกต่างกันออกไปภาวะนี้เด็กจะแสดงออกไม่เหมือนกัน บางคนเก็บตัว บางคนโมโหร้าย บางคนทำอะไรซ้ำๆกันเกินความจำเป็น แต่กลุ่มนี้บางคนจะมีความเป็นอัจฉริยะในบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย ขอเล่าความแตกต่างไว้เพียงแค่นี้ก่อน ลองหันกลับไปสังเกตลูกหลานของเราสิว่าเป็นแบบนี้หรือไม่